ประเภทของกีฬาตะกร้อ
การเล่นตะกร้อในประเทศไทยเท่าที่ปรากฏมาแต่เดิมจนถึงปัจจุบันมีอยู่
๘ ประการด้วยกันคือ
๑. ตะกร้อวงเล็ก
๒. ตะกร้อวงใหญ่
๓. ตะกร้อเตะทน
๔. ตะกร้อพลิกแพลง
๕. ตะกร้อชิงธง
๖. ตะกร้อลอดห่วง
๗. ตะกร้อข้ามตาข่าย
๘. เซปัก – ตะกร้อ
๑.ตะกร้อวงเล็ก
ตะก้อวงนับเป็นการเริ่มแรกของรูปแบบการเล่นตะกร้อ
ซึ่งอาจใช้ผู้เล่นเพียงคนเดียว เตะหรือเดาะลูก
เล่นให้ลูกลอยอยู่ในอากาศและใช้อวัยวะหลายๆ ส่วนที่แตกต่างกันเตะหรือเดาะลูก
โดยใช้ทั้งเท้า เข่า ศอก ศีรษะ ต่อมาอาจมีผู้เล่นเพิ่มเป็น ๒ คน
มีการโยนให้ผู้ยืนอยู่ตรงข้ามเตะโต้กันเป็นเวลานานๆ
โดยทั่วไปแล้วผู้เตะมักจะเตะลูกที่ตนถนัด เช่น ลูกแป ลูกหลังเท้า ลูกโหม่ง เป็นต้น
การเล่นตะกร้อวงเล็กนั้นจะเล่นในบริเวณที่แคบๆ เช่น บนโต๊ะ
หรือสนามซึ่งเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒ – ๓ เมตร
๒.
ตะกร้อวงใหญ่
ลักษณะและรูปแบบการเล่นเหมือนกับการเล่นตะกร้อวงเล็ก
ต่างกันตรงที่สถานที่เล่นและจำนวนผู้เล่น กล่าวคือ
ตะกร้อวงใหญ่จะเล่นในสนามเรียบมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๘ – ๑๔ เมตร ซึ่งอยู่กับผู้เล่นว่าจะมีจำนวนเท่าใด
โดยปกแล้วจะมีผู้เล่นตั้งแต่ ๕ –
๘ คน ท่าทางการเล่นนั้นก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการเล่นตะกร้อวงเล็ก
แต่ตะกร้อวงใหญ่ต้องออกแรงเตะลูกหรือส่งลูกมากกว่า มิฉะนั้นตะกร้อจะไม่ถึงผู้รับ
ผู้เล่นต้องระมัดระวังจังหวะการเล่น ท่าทางต่างๆ
ตลอดจนน้ำหนักหรือแรงเหวี่ยงให้เหมาะสม
๓.
ตะกร้อเตะทน
ตะกร้อเตะทนหรือตะกร้อวงเตะทน
มักนิยมเล่นแข่งขันกันเป็นทีม
จึงควรศึกษาไว้เพื่อนำไปเล่นกันต่อไป
๔.
ตะกร้อพลิกแพลง
ตะกร้อพลิกแพลง
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การติดตะกร้อ” การเล่นตะกร้อแบบนี้ผู้เล่นต้องมีความชำนาญเป็นอย่างดี
เพราะลูกที่ผู้เตะจะเตะแต่ละท่า ดัดแปลงมาจากท่าธรรมดา
การเล่นตะกร้อพลิกแพลงนี้ส่วนมากไม่ทำการแข่งขัน
เป็นเพียงเล่นกันเพื่ออวดลวดลายในการเตะเพื่อดูกันแปลกๆ
และเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินกันเท่านั้น วิธีเล่นก็ตั้งวงเหมือนตะกร้อวง
แต่ไม่ต้องขีดเส้นเหมือนตะกร้อวง ผู้เล่นจะมีตั้งแต่ ๒ – ๘ คน
แต่ละคนก็จะเตะหรือใช้กระบวนท่าส่งลูกไปยังคู่ ซึ่งคู่โต้ก็จะแสดงท่าพลิกแพลงต่างๆ
ในลักษณะที่เรียกกันว่า “ติดตะกร้อ”
สักระยะเวลาหนึ่งแล้วก็จะส่งกลับไปยังผู้เล่นอื่นบ้าง
ซึ่งผู้เล่นร่วมวงคนอื่นก็จะแสดงท่าพลิกแพลงที่แตกต่างกันออกไปอีก เช่น
รับลูกตะกร้อที่ส่งมาด้วยหลังเท้าแล้วเตะลูกไม่ให้ตก
จากนั้นก็เตะส่งลูกขึ้นไปติดค้างกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อพับ ขาหนีบ ซอกคอ
ต้นคอ หน้าขา
หรือสงบนิ่งอยู่บนหลังเท้าและเมื่อได้จังหวะอีกก็เตะลูกใหม่ไปติดค้างอยู่ตามร่างกายส่วนอื่นๆ
ได้อีก ผู้เล่นที่ชำนาญจะติดตะกร้อได้ตั้งแต่หนึ่งลูก ไปจนถึง ๑๗
ลูกก็มี
๕.
ตะกร้อชิงธง
ตะกร้อชิงธงหรือตะกร้อเตะช่วงชัย
เป็นการแข่งขันตะกร้ออีกวิธีหนึ่ง คล้ายการแข่งขันวิ่งวัวหรือวิ่งเร็ว
โดยขีดเส้นด้วยปูนขาวลงบนพื้น ทำเป็นช่องทางกว้างประมาณ ๓ เมตร ยาวประมาณ ๕๐ เมตร
เมื่อผู้เข้าแข่งขันยืนประจำที่เส้นเริ่มต้น
จากนั้นเมื่อได้ยินสัญญาณให้เลี้ยงตะกร้อด้วยอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยกเว้นมือ
โดยพยายามพาลูกตะกร้อไปยังปลายทาง ซึ่งมีเส้นชัย มีธงปักไว้เป็นเครื่องหมาย
ถ้าผู้เล่นคนใดสามารถเลี้ยงตะกร้อโดยไม่ออกนอกลู่
และไม่ตกพื้นจนกระทั่งถึงเส้นชัยก่อนจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน
๖.
ตะกร้อลอดห่วง
ตะกร้อลอดห่วง
มักเรียกวันหลายชื่อ เช่น ตะกร้อลอดบ่วง ตะกร้อห่วงชัย หลวงมงคลแมน ( สังข์
บูรณะศิริ ) เป็นผู้ริเริ่มคิดขึ้นราวช่วง พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๗๕ เริ่มมีการแข่งขึ้นครั้งแรกราว พ.ศ. ๒๔๗๖
ตะกร้อลอดห่วงมีผู้เล่น ๗ คน สำรอง ๓ คน
สนามสำหรับสำหรับแข่งเป็นพื้นราบอยู่ในร่มหรือกลางแจ้งก็ได้
ในขณะที่เล่นจะเปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้ จะเปลี่ยนได้ในคราวแข่งขันคราวต่อไป
มีลวดสปริงขึงไว้ระหว่างเสาทั้งสองต้นซึ่งห่างกันประมาณ ๒๐ เมตร
ลวดสปริงที่ขึงนั้นสูงจากพื้น ๘ เมตร มีรอกสำหรับแขวนห่วง ๑ ตัว
อยู่กึ่งกลางลวดสปริงห่วงชัยประกอบด้วยวงกลม ๓ ห่วง ขนาดเท่ากัน จะทำด้วยโลหะ หวาย
หรือไม้ก็ได้ ขอบล่างของห่วงต้องได้ระดับ สูงจากพื้นสนาม ๕.๗๕ เมตร
เวลาลูกตะกร้อเข้าห่วง ให้หย่อนลงมาเพื่อนะลูกตะกร้อจากถุงห่วงและโยนขึ้นเล่นใหม่
มีผู้ชักรอก ๑ คน ใช้เวลาในการแข่งขันครั้งละ ๕๐ นาที ไม่มีพัก ผู้เล่นทั้ง ๗ คน
ยืนเป็นวงห่างกันพอสมควร
การเตะลูกตะกร้อเข้าห่วงทำได้ทุกคนจะเตะลูกตะกร้อท่าใดก็ได้และมีคะแนนให้ทุกท่าและทุกลูกที่เข้าห่วง
โดยให้คะแนนตามความยากง่ายของแต่ละท่า
คณะตะกร้อชุดใดได้คะแนนมากในเวลาที่กำหนดเป็นฝ่ายชนะ
รายละเอียดเกี่ยวกับกติกาการแข่งขันตะกร้อลอดห่วง
ศึกษาได้จากสมาคมกีฬาไทยพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย
หรือที่สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย ทุกแห่ง
๗.
ตะกร้อข้ามตาข่าย
การเล่นตะกร้อข้ามตาข่ายแบบไทยนี้
เนื่องจากมีนักตะกร้อและนักแบดมินตันบางท่าน ซึ่งมี หลวงสำเร็จวรรณกิจ ขุนจรรยาวิฑิต นายผล
ผลาสินธุ์ และนายยิ้ม
ศรีหงส์ เป็นคณะผู้ริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๒ โดยพยายามการเล่นตะกร้อกับแบดมินตันเข้าด้วยกันและเรียกกีฬาใหม่นี้ว่า “ตะกร้อข้ามตาข่าย” โดยมีการนับคะแนนแบบแบดมินตัน จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕
สมาคมกีฬาสยามซึ่งเป็นชื่อสมาคมในสมัยนั้น บัดนี้เปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมกีฬาไทย
ได้ขอให้หลวงคุณวิชาสนอง ร่างกติกาตะกร้อข้ามตาข่ายขึ้น และ พ.ศ. ๒๔๗๖
จึงจัดให้มีการแข่งขันตะกร้อข้ามตาข่ายระหว่างประชาชนขึ้นเป็นครั้งแรกในงานฉลองรัฐธรรมนูญ
ประจำปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ปรากฏว่าต่อมามีผู้นิยมเล่นกันมากและแพร่หลายกันมากขึ้นตามลำดับ
จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๙
กรมพลศึกษาจึงจัดให้มีการแข่งขันตะกร้อข้ามตาข่ายระหว่างนักเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก
๘.
เซปักตะกร้อ
เซปักตะกร้อหรือตะกร้อข้ามตาข่ายแบบสากล
เป็นกีฬาที่ได้พัฒนามาจนเป็นที่แพร่หลายไปเกือบทั่วโลก ประเทศมาเลเซียเป็นผู้คิดค้นกติกาการเล่น
ซึ่งลักษณะการเล่นเซปักตะกร้อคล้ายกับการเล่นตะกร้อข้ามตาข่ายของไทย
แต่ต่างกันตรงรูปแบบ สนาม การเล่นลูก การนับคะแนน
และกติกาการแล่น
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘
ในช่วงฤดูการแข่งขันกีฬาไทย ซึ่งมีการแข่งขันว่าว กระบี่กระบอง และตะกร้อ
โดยสมาคมกีฬาไทย ณ ท้องสนามหลวง ราวเดือนมีนาคมและเมษายน
ในปีนี้สนามคมตะกร้อจากปีนัง ประเทศมาเลเซีย
ได้เชื่อมความสัมพันธ์เพื่อแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน
ได้มีการแข่งขันตะกร้อของทั้งสองประเทศ
นักกีฬาทีมชาติไทยมีความถนัดในการเล่นตะกร้อแบบกติกาไทย ส่วนนักกีฬาทีมชาติมาเลเซีย
มีความถนัดในการเล่นตะกร้อแบบกติกามาเลเซีย คณะกรรมการจัดการแข่งขัน
จึงได้กำหนดกติกาในการแข่งขันทั้งสองแบบ ผลการแข่งขันตะกร้อแบบกติกาไทย
ปรากฏว่านักกีฬาทีมชาติไทยชนะนักกีฬาทีมชาติมาเลเซียสองเซตรวด
ส่วนการแข่งขันแบบกติกามาเลเซีย
ปรากฏว่านักกีฬาทีมชาติไทยแพ้นักกีฬาทีมชาติมาเลเซียสิงเซตรวดเช่นเดียวกัน
ภายหลังการแข่งขันตะกร้อครั้งนั้น
คณะผู้ประสานงานกีฬาตะกร้อของทั้งสองประเทศ
ได้มีการประชุมเพื่อปรึกษาหารือในการเผยแพร่กีฬาชนิดนี้ให้กว้างขวางเป็นที่นิยมต่อนาอารยประเทศ
จึงได้ตกลงร่วมกันกำหนดชื่อกีฬานี้ขึ้นใหม่
ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ใช้ชื่อไม่เหมือนกัน ประเทศไทยใช้ชื่อว่า “กีฬาตะกร้อ” ส่วนมาเลเซียใช้ชื่อว่า “ซีปัก รากา” ซึ่งคำว่า รากา นั้น แปลว่าตะกร้อนั้นเอง
คณะกรรมการประสานงานหรือสมาคมกีฬาของทั้งสองประเทศ จึงได้นำคำว่า SEPAK ของมาเลเซีย
มารวมกับคำว่า ตะกร้อ ของประเทศไทย รวมเป็นคำว่า SEPAK –
TAKRAW หรือ
เซปักตะกร้อมาตราบเท่าทุกวันนี้
และกีฬาเซปักตะกร้อได้บรรจุเข้าในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย และบรรจุเข้าแข่งขันในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓
ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ปัญหามาตรฐานการเล่นกีฬาของไทย
ปัญหามาตรฐานของไทยในการเล่นกีฬา
มีปัญหาและปัจจัยหลายประการที่นักกีฬาไทยเล่นกีฬากันได้ไม่ดีเท่าที่ควรพอสรุปได้ดังนี้
๑. ขาดงบประมาณที่จะดำเนินการต่างๆ
๒. ผู้เล่นไม่มีความอดทนต่อการเล่นซ้ำ ๆ ซาก
ๆ
๓. สนามฝึกซ้อมไม่เพียงพอ
ไม่มีใครจัดหาอุปกรณ์ให้
๔. ขาดการสนับสนุนอย่างแท้จริงจากผู้บริหาร
หน่วยงานต่างๆ แม่กระทั่งรัฐบาล
๕. การเล่นกีฬาของไทย ไม่ชอบเล่นตามมาตรฐาน
ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายในการเล่นซ้ำ ๆ ซาก ๆ
๖. ไม่มีใครสอนให้ถูกต้องอย่างแท้จริง
เท่าที่เล่นได้อยู่ทุกวันก็เนื่องจากบุคคลนั้นชอบจำเขามาเล่นและเล่นเองโดยพลการ
วิธีแก้ไข
๑. จัดตั้งโรงเรียนสอนขึ้นพื้นฐาน
๒. จัดหาสนามฝึกซ้อมให้เพียงพอ
๓. หน่วยงานต่างๆ
ต้องช่วยกันสนับสนุน
๔. จัดครูฝึกสอนที่มีความสามารถในการฝึกสอนได้
๕. รัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณพิเศษให้เหมือนประเทศอื่นๆ
ที่สนับสนุนด้านกีฬา
คุณสมบัติของนักกีฬา
การเล่นกีฬาทุกชนิด
เมื่อผู้เล่นได้ศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนทักษะต่างๆ
จากอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถถ่ายทอดวิชาให้แก่ศิษย์ทุกอย่าง
บางคนเล่นได้เก่งจนเป็นนักกีฬาตะกร้อได้ แต่จะให้เก่งดีเด่นไปทุกคนก็หาไม่
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยที่เอาจริงเอาจังหรือไม่
บางคนเล่นมาตั้งแต่เด็กจนแก่ก็เอาดีไม่ได้ บางคนลงเล่นไม่กี่ปีก็เป็นดาวเด่นขึ้นมา
ที่เรียกกันว่ามีพรสวรรค์รวมทั้งพีพรแสวง คือได้ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมมากขึ้น
ฉะนั้นคุณสมบัติของนักกีฬาโดยทั่วไป ควรมีดังนี้
๑. เป็นคนตรงต่อเวลา
๒. ไม่เป็นคนที่อวดดื้อถือดี
๓. ไม่เป็นคนที่สังคมรังเกียจ
๔. ไม่เป็นคนที่ติดสุราหรือยาเสพติด
๕. เชื่อฟังการบังคับบัญชาของผู้ฝึกสอน
๖. เป็นคนที่เคารพต่อสิทธิของบุคคลอื่น
๗. เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรและเอาใจใส่
๘. เป็นคนที่มีความประพฤติแบะมารยาทเรียบร้อย
๙. เป็นคนที่มีขีดความสามารถในกีฬานั้น ๆ
สูงพอ
๑๐. เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว
ไม่เอาเปรียบคนอื่นๆ
๑๑. เป็นคนที่ไม่ก่อกวนและก่อให้เกิดความแตกแยกความสามัคคีในหมู่คณะ